ถ้าป่วยใหม่ๆ อาตมาแนะนำให้ทำดังนี้คือ
๑) ให้นำพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร พร้อมอาหารและของใช้ที่จำเป็น นำไปให้ผู้ป่วยเห็นและให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า
"ของทั้งหมดนี้ขอถวายเป็นสังฆทานแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญทั้งหมดนี้ให้เจ้ากรรมนายเวรของผู้ป่วยได้โมทนาและอโหสิกรรมให้ผู้ป่วยด้วย"
แล้วญาติก็นำของทั้งหมดไปถวายพระเป็นสังฆทาน จิตใจของผู้ป่วยจะได้สบายเพราะได้เห็นพระพุทธรูปและได้ทำบุญ
๒) ถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีก ก็ควรนำเงินจะมากหรือน้อยตามแต่ศรัทธา ให้ผู้ป่วยถือเงินไว้และให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า
"เงินจำนวนนี้ขอถวายชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าเคยไปหยิบหรือนำของสงฆ์มาโดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม"
๓) ในระหว่างที่นอนป่วยอยู่ ควรนำพระพุทธรูปมาตั้งไว้ให้ผู้ป่วยได้มองเห็น อย่าไปตั้งไว้ในที่ผู้ป่วยเห็นไม่ถนัด ผู้ป่วยลืมตาขึ้นมาเมื่อใดก็จะเห็นพระทันที จิตของผู้ป่วยจะได้จับอยู่ที่พระ ใจจะสบายช่วยให้คลายจากทุกขเวทนาได้บ้าง และถ้าตายเมื่อใดก็จะไม่ลงนรก
๔) ถ้าป่วยมากมีทุกขเวทนามาก ควรแนะนำสั้นๆ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า หรืออย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่า ถ้าไปแนะนำยาวๆ จะเกิดอาการกลุ้ม
๕) ถ้าต้องการให้ผู้ป่วยตายแล้วไปพระนิพพาน ให้นึกภาวนาว่า "นิพพานัง สุขัง" ถ้าคิดว่าป้องกันไม่ให้ลงนรกก็ให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ให้บอกสั้นๆ อย่าบอกยาว
๖) ถ้าผู้ป่วยภาวนาไม่ไหว ก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ให้นึกถึงพระไว้หรือจะนึกถึงพระสงฆ์ก็ได้ อย่าไปแนะนำยาวๆ เพราะเวลานั้นทุกขเวทนามากจะทำให้กลุ้ม ดีไม่ดีจิตใจเขาดีอยู่แล้ว ถ้าแนะนำไม่ดี พูดมากไปเขาจะกลุ้มจะทำให้ลงนรกไป ให้ดูตาคนป่วย ถ้าตาลอยๆ ตาปรือๆ อย่าไปพูดมาก
ฉะนั้น การแนะนำคนป่วยก่อนตาย ต้องระมัดระวังให้ดี.."
ตายแล้วไปไหน (คำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
>>คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิตก่อน
ตามที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้ "คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต" สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้ ท่านบอกว่าลอกมาจากตำรับตำรา ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต คือ
๑) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ แสดงว่าคนนั้นตายแล้วตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักพระยายมราช
๒) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๓) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
๔) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เช่นของที่เราเคยให้ทาน หรือวัดที่เราเคยทำบุญ พระที่เราเคยไหว้จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่าสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลอย่างนี้ ก็จะไปเกิดบนสวรรค์คือไปสู่สุคติ
ตามที่หลวงพ่อปานเขียนมาอย่างนี้ อาตมาไม่ใช่ต้องการพิสูจน์แต่ได้ไปประสบเข้าโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อ "จวน" นามสกุลจำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลานั้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้เกณฑ์คนไปทำงานที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น คุณจวนก็ไปทำงานที่นี่ด้วย เมื่อเลิกสงครามก็เลิกทำงาน กลับมาก็ปรากฏว่าเป็นโรคไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรคคือเป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด
วันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตมาไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี พอดีกลับมามีคนเขาบอกว่า "จวนป่วยหนัก" ประมาณ ๔ โมงเย็น อาตมานิมนต์พระไปเป็นเพื่อนอีก ๔ องค์ ที่นำพระไปด้วยก็คิดว่าคนป่วยหนักถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นกุศลคนนั้นจะไปสวรรค์
พอไปถึงคุณจวนก็อาการหนักจริงๆ หายใจช้าๆ แล้วก็เบาลงๆ อาตมาไปนั่งข้างๆ เรียกชื่อ "จวน จำฉันได้ไหม" ท่านเหลียวหน้ามาพยักหน้าตอบว่า "จำได้" เสียงเบามาก จึงถามเธอว่า "เวลานี้เห็นอะไรไหม ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง"
ท่านก็ตอบว่า "เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า"
ท่านก็แสดงอาการหวาดกลัวไฟมาก เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่าท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตอย่างนี้ถ้าเห็นตายแล้วไปนรกทันที
ก็คิดอะไรไม่ถูกจึงถามว่า "จวน ภาวนาว่า พุทโธ ได้ไหม"
เธอส่ายหน้าบอกว่า "คิดไม่ออก"
อาตมาจึงหันไปถามภรรยาท่านว่า "มีสตางค์ไหม"
เธอก็ตอบว่า "มี"
ก็เลยบอกว่า "ถ้ามีละก็ขอสัก ๒๐ บาทได้ไหม"
เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาทมาให้ อาตมาก็นำไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือแล้วบอกว่า
"จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราจะตาย หรือไม่ตายนั้นไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกับพระ ๔ องค์ ขอจวนตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ ให้คิดว่าของต่างๆ ในวัดทั้งหลายที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ก็ดี เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท"
ท่านก็พูดเบาๆ ตามแล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย ก็เลยบอกพระ ๔ องค์ว่า "คุณทั้งหลายถ้าเห็นชอบให้ สาธุ พร้อมกันนะ"
พระทั้งหลายก็ "สาธุ" พร้อมกัน พอพระสงฆ์สาธุพร้อมกัน รู้สึกว่าจิตใจของท่านสดชื่นขึ้นมามาก ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง"
ท่านก็ตอบ "ไฟหายไปแล้ว"
ถามว่า "เห็นภาพอะไร"
ท่านบอก "เห็นภาพพระประธานในพระอุโบสถวัดบางนมโค" เพราะว่าท่านเคยบวชที่วัดบางนมโคและก็ไปทำวัตรเป็นประจำ
ถามว่า "เห็นชัดไหม"
ท่านก็บอก "เห็นชัด อยู่ใกล้มาก"
เลยบอกว่า "จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ"
แทนที่ท่านจะนึกในใจกลับออกเสียงว่า "พุทโธๆ ๆ ๆ" เบาๆ ว่าไปสัก ๓-๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลงแต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย
ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นพระไหม"
ท่านตอบว่า "เห็นพระ"
ถามว่า "ชัดขึ้นไหม"
ท่านก็ตอบว่า "ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างใหญ่กว่าเดิมมาก"
เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงว่าเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็นคือภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์"
ท่านยิ้มนิดหนึ่งแล้วบอกว่า "พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระท่านก็ชี้บอกว่า วิมานนี้เป็นของเธอ"
จึงถามว่า "เวลานี้ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน"
ท่านก็ตอบเบาๆ ว่า "ต้องการวิมานครับ"
ก็ไม่ต้องรบกวนให้เหนื่อยต่อไปจึงบอกว่า "ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่า พุทโธ"
ท่านก็ภาวนาเบาๆ ว่า "พุทโธๆ ๆ ๆ"
ในที่สุดก็เงียบไปพร้อมกับคำภาวนาและลมหายใจเข้าออก
รวมความว่าท่านตายคู่กับพุทโธ
เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายมีจริง อาตมาพบมาเองหลายสิบราย และวิธีแก้ก็มีวิธีเดียวคือวิธีนี้ เพราะว่าเวลานั้นอย่างอื่นมันแก้กันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญเขาไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทานและวิหารทาน รวมความว่าเป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ
เป็นอันว่ามนุษย์เราที่ตาย ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อน แต่ว่านิมิตที่ดีและถูกตัดรอนเพราะกฎของกรรมก็มี.."
๑) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ แสดงว่าคนนั้นตายแล้วตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักพระยายมราช
๒) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๓) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
๔) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เช่นของที่เราเคยให้ทาน หรือวัดที่เราเคยทำบุญ พระที่เราเคยไหว้จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่าสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลอย่างนี้ ก็จะไปเกิดบนสวรรค์คือไปสู่สุคติ
ตามที่หลวงพ่อปานเขียนมาอย่างนี้ อาตมาไม่ใช่ต้องการพิสูจน์แต่ได้ไปประสบเข้าโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อ "จวน" นามสกุลจำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลานั้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้เกณฑ์คนไปทำงานที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น คุณจวนก็ไปทำงานที่นี่ด้วย เมื่อเลิกสงครามก็เลิกทำงาน กลับมาก็ปรากฏว่าเป็นโรคไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรคคือเป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด
วันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตมาไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี พอดีกลับมามีคนเขาบอกว่า "จวนป่วยหนัก" ประมาณ ๔ โมงเย็น อาตมานิมนต์พระไปเป็นเพื่อนอีก ๔ องค์ ที่นำพระไปด้วยก็คิดว่าคนป่วยหนักถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นกุศลคนนั้นจะไปสวรรค์
พอไปถึงคุณจวนก็อาการหนักจริงๆ หายใจช้าๆ แล้วก็เบาลงๆ อาตมาไปนั่งข้างๆ เรียกชื่อ "จวน จำฉันได้ไหม" ท่านเหลียวหน้ามาพยักหน้าตอบว่า "จำได้" เสียงเบามาก จึงถามเธอว่า "เวลานี้เห็นอะไรไหม ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง"
ท่านก็ตอบว่า "เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า"
ท่านก็แสดงอาการหวาดกลัวไฟมาก เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่าท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตอย่างนี้ถ้าเห็นตายแล้วไปนรกทันที
ก็คิดอะไรไม่ถูกจึงถามว่า "จวน ภาวนาว่า พุทโธ ได้ไหม"
เธอส่ายหน้าบอกว่า "คิดไม่ออก"
อาตมาจึงหันไปถามภรรยาท่านว่า "มีสตางค์ไหม"
เธอก็ตอบว่า "มี"
ก็เลยบอกว่า "ถ้ามีละก็ขอสัก ๒๐ บาทได้ไหม"
เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาทมาให้ อาตมาก็นำไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือแล้วบอกว่า
"จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราจะตาย หรือไม่ตายนั้นไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกับพระ ๔ องค์ ขอจวนตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ ให้คิดว่าของต่างๆ ในวัดทั้งหลายที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ก็ดี เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท"
ท่านก็พูดเบาๆ ตามแล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย ก็เลยบอกพระ ๔ องค์ว่า "คุณทั้งหลายถ้าเห็นชอบให้ สาธุ พร้อมกันนะ"
พระทั้งหลายก็ "สาธุ" พร้อมกัน พอพระสงฆ์สาธุพร้อมกัน รู้สึกว่าจิตใจของท่านสดชื่นขึ้นมามาก ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง"
ท่านก็ตอบ "ไฟหายไปแล้ว"
ถามว่า "เห็นภาพอะไร"
ท่านบอก "เห็นภาพพระประธานในพระอุโบสถวัดบางนมโค" เพราะว่าท่านเคยบวชที่วัดบางนมโคและก็ไปทำวัตรเป็นประจำ
ถามว่า "เห็นชัดไหม"
ท่านก็บอก "เห็นชัด อยู่ใกล้มาก"
เลยบอกว่า "จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ"
แทนที่ท่านจะนึกในใจกลับออกเสียงว่า "พุทโธๆ ๆ ๆ" เบาๆ ว่าไปสัก ๓-๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลงแต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย
ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นพระไหม"
ท่านตอบว่า "เห็นพระ"
ถามว่า "ชัดขึ้นไหม"
ท่านก็ตอบว่า "ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างใหญ่กว่าเดิมมาก"
เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงว่าเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็นคือภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์"
ท่านยิ้มนิดหนึ่งแล้วบอกว่า "พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระท่านก็ชี้บอกว่า วิมานนี้เป็นของเธอ"
จึงถามว่า "เวลานี้ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน"
ท่านก็ตอบเบาๆ ว่า "ต้องการวิมานครับ"
ก็ไม่ต้องรบกวนให้เหนื่อยต่อไปจึงบอกว่า "ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่า พุทโธ"
ท่านก็ภาวนาเบาๆ ว่า "พุทโธๆ ๆ ๆ"
ในที่สุดก็เงียบไปพร้อมกับคำภาวนาและลมหายใจเข้าออก
รวมความว่าท่านตายคู่กับพุทโธ
เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายมีจริง อาตมาพบมาเองหลายสิบราย และวิธีแก้ก็มีวิธีเดียวคือวิธีนี้ เพราะว่าเวลานั้นอย่างอื่นมันแก้กันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญเขาไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทานและวิหารทาน รวมความว่าเป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ
เป็นอันว่ามนุษย์เราที่ตาย ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อน แต่ว่านิมิตที่ดีและถูกตัดรอนเพราะกฎของกรรมก็มี.."
>>ตายจากคนเป็นผู้พิพากษาแล้วไปเกิดเป็นเวมาณิกเปรต
สำหรับเรื่องราวของเปรต อาตมาได้นำเอาเรื่องเปรตประเภทที่ท่านทั้งหลายไม่ได้คิดว่าเป็นเปรตมาเล่าสู่กันฟัง ในพระบาลีกล่าวว่า ในสำนักแห่งพระราชาธิบดีทรงพระนามว่า "พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์" พระบาทท้าวเธอทรงปกครองมคธรัฐ หรือที่เรียกว่ากรุงราชคฤห์มหานคร จัดว่าเป็นกษัตริย์องค์แรกที่นับถือพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงแต่งตั้งบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีปัญญามีความรู้ให้เป็น ผู้พิพากษาชำระอรรถคดี ท่านผู้นี้ในตอนต้นก็มีอุดมการณ์ดี มีความซื่อสัตย์สุจริต ทำกิจการงานด้วยความซื่อตรงไม่มีความประสงค์ในการที่จะคดโกงอะไรทั้งนั้น ต่อมาในภายหลังเมื่อมีคนมาหาบ่อยๆ
เขาต้องการชนะคดีก็มากราบมาไหว้ เอาเงินเอาทองมาให้ อาศัยที่ท่านผู้พิพากษาผู้นี้เป็นคนใจอ่อนมีเมตตาในด้านความชั่ว ต่อมาจิตใจของตนก็เกิดความโลภเข้ามาครอบงำจิต ติดในทรัพย์สินเป็นสำคัญ จึงประพฤติผิดในหน้าที่ คดีใดที่ควรจะแพ้แต่ถ้าเขาให้เงินมากก็ตัดสินให้ชนะ คดีใดที่ควรจะชนะแต่ทว่าไม่ให้เงินก็ตัดสินให้แพ้ เป็นการรับสินบน กลายเป็นคนมีความชั่วช้าอย่างสาหัสไม่สมกับพระราชาทรงไว้วางพระราชหฤทัย
เป็นอันว่าท่านผู้พิพากษาท่านนี้ตัดสินความขาดความยุติธรรม วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ ครั้นเมื่อพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ทรงสมาทานอุโบสถศีล ก็มีพระราชดำรัสสั่งให้อำมาตย์ผู้ใหญ่หลายท่านด้วยกันสมาทานอุโบสถศีลพร้อมไปด้วยกับพระองค์ สำหรับผู้พิพากษาท่านนี้ท่านไม่ได้ศรัทธาที่จะรักษาศีล แต่ทว่าด้วยอำนาจความเกรงกลัวในพระราชา หรือบางทีอาจจะเกรงชาวบ้านเขาจะว่าเอาว่า เป็นผู้ใหญ่ที่พระราชาทรงชวนให้สมาทานอุโบสถศีล จะไม่ทำก็จะเป็นการไม่ดี ไม่ได้นึกถึงความดีที่จะพึงมีกับตนเพียงใด ก็เลยจำทนจำใจสมาทานศีลด้วย
ครั้นเมื่อสมาทานศีลแล้ว ออกมาจากพระราชสำนักจึงได้กล่าวกับอำมาตย์ผู้ใหญ่คนหนึ่งซึ่งเป็นสหายว่า "ความจริงวันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะรักษาอุโบสถศีล เพราะว่าเรื่องศีลเรื่องทานนี่ผมไม่ได้สนใจว่าจะเป็นของดีตรงไหน เมื่อสมาทานแล้วก็จะต้องอดข้าวเย็น กินเหล้าก็ไม่ได้ ขนมนมเนยก็กินไม่ได้ ไม่เห็นมีประโยชน์ตรงไหน แต่ที่ร่วมสมาทานกับพระราชาก็เพราะความเกรงใจ ผมสมาทานแล้วก็อยากจะโยนศีลทิ้งไป ไม่เห็นมีประโยชน์"
เพื่อนก็เตือนว่า "ท่านสมาทานศีลแล้วจะไม่รักษาศีลนั้นไม่เป็นการสมควร เพราะว่าท่านเองก็เป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่ เมื่อสมาทานต่อหน้าพระพักตร์ของพระราชามาแล้ว พอลับหลังจะไม่ยอมรักษาศีลต่อไป จะเป็นการปฏิบัติศีลเอาหน้า ภาวนากันตาย ขอเพื่อนจงตั้งใจรักษาอุโบสถศีลให้ครบ ๑ วันกับ ๑ คืนเถิด ถ้าหากว่าเพื่อนไม่รักษาศีลให้ครบถ้วน ใครเขาทราบเข้า เขาก็จะประณามว่าอำมาตย์ผู้ใหญ่ของพระราชาเป็นคนชั่ว ไม่สามารถจะทำตัวให้อยู่ในขอบเขตของความดีได้"
ท่านผู้พิพากษาได้ฟังคำแนะนำตักเตือนของเพื่อนอย่างนั้น ก็มีจิตยินดียอมรับคำแนะนำ แต่ไม่ใช่ยินดีในการที่จะรักษาอุโบสถศีล เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วก็จำใจจะต้องรักษาอุโบสถศีลเพื่อให้เพื่อนและคนทั้งหลายเห็นว่า ท่านเป็นผู้ทรงอุโบสถศีลได้ ท่านก็อดข้าวเย็น บ้วนปากเสร็จแล้วก็เข้านอน พอตกดึกก็กระสับกระส่ายเพราะเหตุที่ไม่เคยอดอาหารเย็นมาก่อน ความจริงตอนเย็นเคยกินมาก กินทั้งอาหาร เหล้ายาปลาปิ้ง รวมทั้งที่เรียกว่านารี พาชี กีฬาบัตร อบายมุขทุกประการ เวลาเย็นผู้พิพากษาท่านนี้ปฏิบัติได้หมด ครั้นมาอดข้าวเย็น ความหิวความกระหายมันก็เกิดทำให้กลุ้ม ในที่สุดก็เกิดเป็นลมตายไปในคืนนั้น เมื่อตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเวมาณิกเปรตได้รับผลของกรรมทั้ง ๒ อย่างร่วมกันคือ
๑) ผลแห่งการรักษาอุโบสถศีล ถึงแม้จะไม่เต็มใจทำก็ตามแต่ทว่าเขาไม่ขาดในสิกขาบทในวันหนึ่งคืนหนึ่ง เปรียบเหมือนกับเราไม่เต็มใจกินข้าวแต่มันก็อิ่ม ร้อนมาไม่เต็มใจจะอาบนํ้า เมื่ออาบแล้วมันก็เย็น การรักษาศีลด้วยความไม่เต็มใจก็มีผลเช่นเดียวกัน จึงทำให้ผู้พิพากษาท่านนี้มีวิมานสวยสดงดงาม ประดับประดาไปด้วยทองและแก้วแพรวพราวเป็นที่อยู่ มีสมบัติอันเป็นทิพย์และมีนางฟ้าที่สวยสดงดงามน่ารักแวดล้อมเป็นบริวารมากมาย จัดว่าเป็นสถานที่มีความสุข
๒) ผลแห่งการที่มีสภาพเป็นเปรต ก็เพราะอาศัยที่ท่านผู้พิพากษาไม่ทรงความดี ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่ พิพากษาไม่เป็นไปตามความยุติธรรม ชอบกินสินบาทคาดสินบน และโทษที่เคยเจรจาส่อเสียดยุยงส่งเสริมทำลายให้เขาแตกความสามัคคี จึงทำให้มีสภาวะเป็นเปรตคือ มีร่างกายสวยเหมือนเทวดาเรียกว่า "เทวดาเปรต" แต่ทว่ามีเล็บมือยาวคล้ายๆ จอบและก็คม จิกเลือดและเนื้อสันหลังของตนกินเป็นอาหารทั้งๆ ที่อยู่ในวิมานอันสวยสดงดงาม เป็นการเสวยทุกขเวทนาอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง ไม่ใช่ภูเขาหินแต่เป็นสภาพเขาที่เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ ท่านที่เห็นเปรตผู้พิพากษาเป็นท่านแรกก็คือ พระนารทเถระเจ้า ซึ่งลงมาจากภูเขานั้น
เวมาณิกเปรตระดับที่ ๒ เป็นกรรมประเภทที่แปลก ถ้าเรามองกันก็รู้สึกวาเขาเป็นคนดีมีความรักความเมตตาปรานี เปรตพวกนี้ได้แก่คนที่ชอบเลี้ยงสัตว์ไว้ดูเล่น ชอบเลี้ยงสัตว์ไว้แข่งขัน สัตว์ทุกประเภทที่เลี้ยงไว้มีขอบเขตให้อยู่จำกัด ไม่มีอิสระในความเป็นอยู่ อย่าลืมว่าสัตว์ทั้งหลายก็มีหัวใจ มีมันสมอง มีความรู้สึกและมีความต้องการเหมือนกับคน ก็ลองนึกถึงจิตใจของเราบ้าง
สมมติว่าเขาสร้างบ้านให้เราสักหลังหนึ่งมีกำแพงล้อมรอบ ในนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราปรารถนา แต่ทว่าเราไม่มีโอกาสออกไปสู่ภายนอกได้ เราจะพอใจไหม ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ท่านที่มีอารมณ์เมตตาในสัตว์ สงเคราะห์สัตว์ เลี้ยงสัตว์ไว้ในขอบเขตด้วยความเมตตาปรานี จัดว่าเป็นความดีของบุคคลผู้เลี้ยง แต่ว่าการขาดอิสรภาพของสัตว์นี้เป็นภัยสำหรับท่านผู้เลี้ยงเหมือนกัน เพราะสัตว์ก็มีความต้องการอิสรภาพ ไปไหนได้ตามชอบใจเช่นเดียวกับคน
และการที่สัตว์ทั้งหลายได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี มีอาหารการบริโภคบริบูรณ์สมบูรณ์ก็ตาม แต่เป็นการดีตามใจคนเลี้ยง เพราะความปรารถนาของสัตว์ก็มีอยู่ สัตว์อยากจะกินของประเภทนี้แต่ว่าคนเลี้ยงมีความเข้าใจว่าสัตว์ต้องการประเภทนั้น คนเลี้ยงเข้าใจว่าดีแต่สัตว์ไม่ชอบ สัตว์ต้องการอะไรก็พูดไม่ได้ อย่างเช่นเลี้ยงสุนัข ผู้เลี้ยงก็คิดว่าสุนัขชอบเนื้อเสมอ ถ้าหากว่าเราจะพิสูจน์กันให้ดี ก็เอาเนื้อหลายประเภทมาทำอาหารหลายๆ รส เอาให้สัตว์กิน สังเกตดูว่าสัตว์จะเลือกกินประเภทไหน ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าส่งไปให้มันก็ชอบ
บุคคลประเภทนี้ตายแล้วต้องมาเกิดเป็นเวมาณิกเปรตระดับที่ ๒ คือเป็นเปรตที่มีวิมานอยู่ในแดนเปรตเป็นที่อยู่ วิมานของเปรตประเภทนี้ก็มีสภาพเหมือนกับเทวดาทุกอย่าง มีบริเวณล้อมรอบ มีความเป็นอยู่เป็นทิพย์ ร่างกายของเปรตพวกนี้ก็เป็นกายเทวดา มีนางฟ้าแวดล้อมเป็นบริวาร มีความสุขไม่ต่างกับเทวดาทั้งหลายทั้งหมด ความต้องการใดๆ ในบริเวณนั้นมีความปรารถนา
สมหวังเหมือนกับเทวดาอื่นๆ แต่ทว่าเป็นเทวดาที่ต้องถูกกักขังอยู่ในวิมาน ไม่สามารถจะออกมาภายนอกได้ก็เพราะมี กงจักร หมุนมีความเร็วและความแรงสูงพัดผันอยู่รอบๆ วิมานตลอดเวลา ถ้าหากว่าเทวดาเปรตยื่นมือออกไป กงจักรก็จะตัดมือตัดนิ้วทันที ถ้ายื่นศีรษะออกไป ศีรษะก็จะถูกกงจักรตัดทันที ความเป็นทิพย์ก็ช่วยไม่ได้ เพราะกงจักรก็เป็นกงจักรทิพย์ที่มีทั้งความเร็วและความแรง ทำให้การเคลื่อนไหวของเทวดาเปรตพวกนี้ไม่สามารถออกนอกเขตวิมานได้ ก็เพราะโทษที่กักขังบรรดาสัตว์ทั้งหลายไม่ให้มีอิสรภาพ แต่ผลแห่งความดีที่มีเมตตาปรานีเลี้ยงดูให้อาหารการกิน ก็มีผลตอบสนองดังนี้คือ
๑) มีร่างกายเป็นทิพย์
๒) มีเครื่องประดับเป็นทิพย์
๓) มีอารมณ์ใจเป็นสุขอย่างเทวดา
๔) จะมีความปรารถนาอะไรก็ตาม ถ้าไม่เกินวิสัยของบุญญาธิการที่เคยบำเพ็ญไว้ ก็ได้สมความปรารถนา
กายมีความเบา ไม่มีความหนาว ไม่มีความร้อน ไม่มีความหิว ไม่มีความกระหาย ขึ้นชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บไม่มี ความแก่ก็ไม่มี ขณะที่เกิดขึ้นในวันแรกมีความเป็นหนุ่มเป็นสาวฉันใด ร่างกายของเขาเหล่านั้นที่มีอารมณ์ประกอบไปด้วยเมตตา จะทรงสภาพอย่างนั้นเป็นปกติ ไม่มีความร่วงโรย กำลังวังชาก็มีความสมบูรณ์บริบูรณ์ รูปร่างหน้าตาก็สวยเหมือนกับเทวดาทั้งหลาย
มีความสว่างไสวสวยสดงดงาม มีวิมานประดับประดาไปด้วยแก้วแพรวพราวเป็นที่อยู่ มีความสว่างไสว นางฟ้าที่เป็นบริวารก็แสนจะสวยและทุกคนก็ช่วยปฏิบัติเอาใจด้วยดีทุกอย่าง อันนี้เป็นผลของเมตตาบารมีที่เขาทำไว้ ทั้งหมดนี้เป็นอานิสงส์เฉพาะผู้เลี้ยงสัตว์ไว้ดูเล่นเท่านั้น ไม่ใช่เลี้ยงไก่ไว้ชนกันหรือว่าเลี้ยงนกเขาไว้แข่งขันกัน อย่างนี้ตายจากความเป็นคนก็ต้องไปเกิดเป็นเปรตประเภทที่ต้องถูกทุกถูกตี หรือว่านายนิรยบาลจะปล่อยให้ตีกับเสาเหล็ก จะตีกับหินเหล็กหรือว่าอาวุธที่มีความแหลมคม
จะเห็นได้ว่าพระพุทธศาสนามีทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุผล ขอท่านทั้งหลายจงระมัดระวังใจของท่าน จงอย่าเป็นผู้มีเมตตาในประเภททรมานสัตว์หรือในประเภททรมานคน ถ้าทำกับคนก็มีโทษร้ายแรงกว่าทำกับสัตว์ เพราะบรรดาสัตว์ทุกประเภท พระพุทธเจ้าตรัสว่า ยังอยู่ในเขตอบายภูมิ ในเมื่อสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นอยู่ในเขตอบายภูมิ เมื่อรับโทษอย่างนั้นก็คิดว่าจะรับโทษไม่มาก สำหรับเวมาณิกเปรตนี้ไม่มีโอกาสที่จะรับโมทนาส่วนกุศลได้.."
เขาต้องการชนะคดีก็มากราบมาไหว้ เอาเงินเอาทองมาให้ อาศัยที่ท่านผู้พิพากษาผู้นี้เป็นคนใจอ่อนมีเมตตาในด้านความชั่ว ต่อมาจิตใจของตนก็เกิดความโลภเข้ามาครอบงำจิต ติดในทรัพย์สินเป็นสำคัญ จึงประพฤติผิดในหน้าที่ คดีใดที่ควรจะแพ้แต่ถ้าเขาให้เงินมากก็ตัดสินให้ชนะ คดีใดที่ควรจะชนะแต่ทว่าไม่ให้เงินก็ตัดสินให้แพ้ เป็นการรับสินบน กลายเป็นคนมีความชั่วช้าอย่างสาหัสไม่สมกับพระราชาทรงไว้วางพระราชหฤทัย
เป็นอันว่าท่านผู้พิพากษาท่านนี้ตัดสินความขาดความยุติธรรม วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ ครั้นเมื่อพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ทรงสมาทานอุโบสถศีล ก็มีพระราชดำรัสสั่งให้อำมาตย์ผู้ใหญ่หลายท่านด้วยกันสมาทานอุโบสถศีลพร้อมไปด้วยกับพระองค์ สำหรับผู้พิพากษาท่านนี้ท่านไม่ได้ศรัทธาที่จะรักษาศีล แต่ทว่าด้วยอำนาจความเกรงกลัวในพระราชา หรือบางทีอาจจะเกรงชาวบ้านเขาจะว่าเอาว่า เป็นผู้ใหญ่ที่พระราชาทรงชวนให้สมาทานอุโบสถศีล จะไม่ทำก็จะเป็นการไม่ดี ไม่ได้นึกถึงความดีที่จะพึงมีกับตนเพียงใด ก็เลยจำทนจำใจสมาทานศีลด้วย
ครั้นเมื่อสมาทานศีลแล้ว ออกมาจากพระราชสำนักจึงได้กล่าวกับอำมาตย์ผู้ใหญ่คนหนึ่งซึ่งเป็นสหายว่า "ความจริงวันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะรักษาอุโบสถศีล เพราะว่าเรื่องศีลเรื่องทานนี่ผมไม่ได้สนใจว่าจะเป็นของดีตรงไหน เมื่อสมาทานแล้วก็จะต้องอดข้าวเย็น กินเหล้าก็ไม่ได้ ขนมนมเนยก็กินไม่ได้ ไม่เห็นมีประโยชน์ตรงไหน แต่ที่ร่วมสมาทานกับพระราชาก็เพราะความเกรงใจ ผมสมาทานแล้วก็อยากจะโยนศีลทิ้งไป ไม่เห็นมีประโยชน์"
เพื่อนก็เตือนว่า "ท่านสมาทานศีลแล้วจะไม่รักษาศีลนั้นไม่เป็นการสมควร เพราะว่าท่านเองก็เป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่ เมื่อสมาทานต่อหน้าพระพักตร์ของพระราชามาแล้ว พอลับหลังจะไม่ยอมรักษาศีลต่อไป จะเป็นการปฏิบัติศีลเอาหน้า ภาวนากันตาย ขอเพื่อนจงตั้งใจรักษาอุโบสถศีลให้ครบ ๑ วันกับ ๑ คืนเถิด ถ้าหากว่าเพื่อนไม่รักษาศีลให้ครบถ้วน ใครเขาทราบเข้า เขาก็จะประณามว่าอำมาตย์ผู้ใหญ่ของพระราชาเป็นคนชั่ว ไม่สามารถจะทำตัวให้อยู่ในขอบเขตของความดีได้"
ท่านผู้พิพากษาได้ฟังคำแนะนำตักเตือนของเพื่อนอย่างนั้น ก็มีจิตยินดียอมรับคำแนะนำ แต่ไม่ใช่ยินดีในการที่จะรักษาอุโบสถศีล เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วก็จำใจจะต้องรักษาอุโบสถศีลเพื่อให้เพื่อนและคนทั้งหลายเห็นว่า ท่านเป็นผู้ทรงอุโบสถศีลได้ ท่านก็อดข้าวเย็น บ้วนปากเสร็จแล้วก็เข้านอน พอตกดึกก็กระสับกระส่ายเพราะเหตุที่ไม่เคยอดอาหารเย็นมาก่อน ความจริงตอนเย็นเคยกินมาก กินทั้งอาหาร เหล้ายาปลาปิ้ง รวมทั้งที่เรียกว่านารี พาชี กีฬาบัตร อบายมุขทุกประการ เวลาเย็นผู้พิพากษาท่านนี้ปฏิบัติได้หมด ครั้นมาอดข้าวเย็น ความหิวความกระหายมันก็เกิดทำให้กลุ้ม ในที่สุดก็เกิดเป็นลมตายไปในคืนนั้น เมื่อตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเวมาณิกเปรตได้รับผลของกรรมทั้ง ๒ อย่างร่วมกันคือ
๑) ผลแห่งการรักษาอุโบสถศีล ถึงแม้จะไม่เต็มใจทำก็ตามแต่ทว่าเขาไม่ขาดในสิกขาบทในวันหนึ่งคืนหนึ่ง เปรียบเหมือนกับเราไม่เต็มใจกินข้าวแต่มันก็อิ่ม ร้อนมาไม่เต็มใจจะอาบนํ้า เมื่ออาบแล้วมันก็เย็น การรักษาศีลด้วยความไม่เต็มใจก็มีผลเช่นเดียวกัน จึงทำให้ผู้พิพากษาท่านนี้มีวิมานสวยสดงดงาม ประดับประดาไปด้วยทองและแก้วแพรวพราวเป็นที่อยู่ มีสมบัติอันเป็นทิพย์และมีนางฟ้าที่สวยสดงดงามน่ารักแวดล้อมเป็นบริวารมากมาย จัดว่าเป็นสถานที่มีความสุข
๒) ผลแห่งการที่มีสภาพเป็นเปรต ก็เพราะอาศัยที่ท่านผู้พิพากษาไม่ทรงความดี ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่ พิพากษาไม่เป็นไปตามความยุติธรรม ชอบกินสินบาทคาดสินบน และโทษที่เคยเจรจาส่อเสียดยุยงส่งเสริมทำลายให้เขาแตกความสามัคคี จึงทำให้มีสภาวะเป็นเปรตคือ มีร่างกายสวยเหมือนเทวดาเรียกว่า "เทวดาเปรต" แต่ทว่ามีเล็บมือยาวคล้ายๆ จอบและก็คม จิกเลือดและเนื้อสันหลังของตนกินเป็นอาหารทั้งๆ ที่อยู่ในวิมานอันสวยสดงดงาม เป็นการเสวยทุกขเวทนาอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง ไม่ใช่ภูเขาหินแต่เป็นสภาพเขาที่เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ ท่านที่เห็นเปรตผู้พิพากษาเป็นท่านแรกก็คือ พระนารทเถระเจ้า ซึ่งลงมาจากภูเขานั้น
เวมาณิกเปรตระดับที่ ๒ เป็นกรรมประเภทที่แปลก ถ้าเรามองกันก็รู้สึกวาเขาเป็นคนดีมีความรักความเมตตาปรานี เปรตพวกนี้ได้แก่คนที่ชอบเลี้ยงสัตว์ไว้ดูเล่น ชอบเลี้ยงสัตว์ไว้แข่งขัน สัตว์ทุกประเภทที่เลี้ยงไว้มีขอบเขตให้อยู่จำกัด ไม่มีอิสระในความเป็นอยู่ อย่าลืมว่าสัตว์ทั้งหลายก็มีหัวใจ มีมันสมอง มีความรู้สึกและมีความต้องการเหมือนกับคน ก็ลองนึกถึงจิตใจของเราบ้าง
สมมติว่าเขาสร้างบ้านให้เราสักหลังหนึ่งมีกำแพงล้อมรอบ ในนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราปรารถนา แต่ทว่าเราไม่มีโอกาสออกไปสู่ภายนอกได้ เราจะพอใจไหม ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ท่านที่มีอารมณ์เมตตาในสัตว์ สงเคราะห์สัตว์ เลี้ยงสัตว์ไว้ในขอบเขตด้วยความเมตตาปรานี จัดว่าเป็นความดีของบุคคลผู้เลี้ยง แต่ว่าการขาดอิสรภาพของสัตว์นี้เป็นภัยสำหรับท่านผู้เลี้ยงเหมือนกัน เพราะสัตว์ก็มีความต้องการอิสรภาพ ไปไหนได้ตามชอบใจเช่นเดียวกับคน
และการที่สัตว์ทั้งหลายได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี มีอาหารการบริโภคบริบูรณ์สมบูรณ์ก็ตาม แต่เป็นการดีตามใจคนเลี้ยง เพราะความปรารถนาของสัตว์ก็มีอยู่ สัตว์อยากจะกินของประเภทนี้แต่ว่าคนเลี้ยงมีความเข้าใจว่าสัตว์ต้องการประเภทนั้น คนเลี้ยงเข้าใจว่าดีแต่สัตว์ไม่ชอบ สัตว์ต้องการอะไรก็พูดไม่ได้ อย่างเช่นเลี้ยงสุนัข ผู้เลี้ยงก็คิดว่าสุนัขชอบเนื้อเสมอ ถ้าหากว่าเราจะพิสูจน์กันให้ดี ก็เอาเนื้อหลายประเภทมาทำอาหารหลายๆ รส เอาให้สัตว์กิน สังเกตดูว่าสัตว์จะเลือกกินประเภทไหน ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าส่งไปให้มันก็ชอบ
บุคคลประเภทนี้ตายแล้วต้องมาเกิดเป็นเวมาณิกเปรตระดับที่ ๒ คือเป็นเปรตที่มีวิมานอยู่ในแดนเปรตเป็นที่อยู่ วิมานของเปรตประเภทนี้ก็มีสภาพเหมือนกับเทวดาทุกอย่าง มีบริเวณล้อมรอบ มีความเป็นอยู่เป็นทิพย์ ร่างกายของเปรตพวกนี้ก็เป็นกายเทวดา มีนางฟ้าแวดล้อมเป็นบริวาร มีความสุขไม่ต่างกับเทวดาทั้งหลายทั้งหมด ความต้องการใดๆ ในบริเวณนั้นมีความปรารถนา
สมหวังเหมือนกับเทวดาอื่นๆ แต่ทว่าเป็นเทวดาที่ต้องถูกกักขังอยู่ในวิมาน ไม่สามารถจะออกมาภายนอกได้ก็เพราะมี กงจักร หมุนมีความเร็วและความแรงสูงพัดผันอยู่รอบๆ วิมานตลอดเวลา ถ้าหากว่าเทวดาเปรตยื่นมือออกไป กงจักรก็จะตัดมือตัดนิ้วทันที ถ้ายื่นศีรษะออกไป ศีรษะก็จะถูกกงจักรตัดทันที ความเป็นทิพย์ก็ช่วยไม่ได้ เพราะกงจักรก็เป็นกงจักรทิพย์ที่มีทั้งความเร็วและความแรง ทำให้การเคลื่อนไหวของเทวดาเปรตพวกนี้ไม่สามารถออกนอกเขตวิมานได้ ก็เพราะโทษที่กักขังบรรดาสัตว์ทั้งหลายไม่ให้มีอิสรภาพ แต่ผลแห่งความดีที่มีเมตตาปรานีเลี้ยงดูให้อาหารการกิน ก็มีผลตอบสนองดังนี้คือ
๑) มีร่างกายเป็นทิพย์
๒) มีเครื่องประดับเป็นทิพย์
๓) มีอารมณ์ใจเป็นสุขอย่างเทวดา
๔) จะมีความปรารถนาอะไรก็ตาม ถ้าไม่เกินวิสัยของบุญญาธิการที่เคยบำเพ็ญไว้ ก็ได้สมความปรารถนา
กายมีความเบา ไม่มีความหนาว ไม่มีความร้อน ไม่มีความหิว ไม่มีความกระหาย ขึ้นชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บไม่มี ความแก่ก็ไม่มี ขณะที่เกิดขึ้นในวันแรกมีความเป็นหนุ่มเป็นสาวฉันใด ร่างกายของเขาเหล่านั้นที่มีอารมณ์ประกอบไปด้วยเมตตา จะทรงสภาพอย่างนั้นเป็นปกติ ไม่มีความร่วงโรย กำลังวังชาก็มีความสมบูรณ์บริบูรณ์ รูปร่างหน้าตาก็สวยเหมือนกับเทวดาทั้งหลาย
มีความสว่างไสวสวยสดงดงาม มีวิมานประดับประดาไปด้วยแก้วแพรวพราวเป็นที่อยู่ มีความสว่างไสว นางฟ้าที่เป็นบริวารก็แสนจะสวยและทุกคนก็ช่วยปฏิบัติเอาใจด้วยดีทุกอย่าง อันนี้เป็นผลของเมตตาบารมีที่เขาทำไว้ ทั้งหมดนี้เป็นอานิสงส์เฉพาะผู้เลี้ยงสัตว์ไว้ดูเล่นเท่านั้น ไม่ใช่เลี้ยงไก่ไว้ชนกันหรือว่าเลี้ยงนกเขาไว้แข่งขันกัน อย่างนี้ตายจากความเป็นคนก็ต้องไปเกิดเป็นเปรตประเภทที่ต้องถูกทุกถูกตี หรือว่านายนิรยบาลจะปล่อยให้ตีกับเสาเหล็ก จะตีกับหินเหล็กหรือว่าอาวุธที่มีความแหลมคม
จะเห็นได้ว่าพระพุทธศาสนามีทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุผล ขอท่านทั้งหลายจงระมัดระวังใจของท่าน จงอย่าเป็นผู้มีเมตตาในประเภททรมานสัตว์หรือในประเภททรมานคน ถ้าทำกับคนก็มีโทษร้ายแรงกว่าทำกับสัตว์ เพราะบรรดาสัตว์ทุกประเภท พระพุทธเจ้าตรัสว่า ยังอยู่ในเขตอบายภูมิ ในเมื่อสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นอยู่ในเขตอบายภูมิ เมื่อรับโทษอย่างนั้นก็คิดว่าจะรับโทษไม่มาก สำหรับเวมาณิกเปรตนี้ไม่มีโอกาสที่จะรับโมทนาส่วนกุศลได้.."
>>ตายจากแมวไปเกิดเป็นคน
พอครบเวลา ๑ ปีผ่านไป พระที่สงสัย ๒ องค์ก็พากันไปดู ไปถามว่า "คนชื่อนี้มีไหม" เขาก็บอกว่า "มี" ได้ถามว่า "เขามีลูกผู้หญิงอายุไม่กี่เดือนหรือเปล่า" เขาตอบว่า "มี" จึงถามหาบ้าน เขาก็พาไปพบเจ้าของบ้าน เขาก็ถามว่า "มาทำไม" พระก็หลอกว่า "หลวงพ่อเนียมท่านใช้ให้มา บอกว่า แมวของท่านตายแล้วมาเกิดเป็นลูกที่บ้านนี้ มีไฝที่ปากเป็นผู้หญิง และบอกชื่อพ่อชื่อแม่ของเด็ก" พ่อแม่ของเด็กก็ดีใจมากที่ได้ลูกที่เคยเป็นแมวของหลวงพ่อเนียม และให้พระบอกท่านด้วยว่า "ถ้าเด็กคนนี้อายุครบ ๓ เดือนเมื่อไร จะพาเด็กไปถวาย"
พอครบ ๓ เดือนเขาก็พาเด็กไป พอไปถึงก็เอาเด็กไปประเคนลงที่เท้าของท่าน หลวงพ่อเนียมทำท่าตกใจ ความจริงท่านทำไปอย่างนั้นเอง แล้วถามว่า "มันยังไงกันหว่า มาถึงก็ยกเด็กมาวางที่เท้าข้า" เขาก็บอกว่า "ก็ลูกของหลวงพ่อไงล่ะ แมวชื่อไฝของหลวงพ่อไปเกิดเป็นลูกฉัน" ท่านก็ถามว่า "รู้ได้อย่างไร" เขาก็บอกว่า "มีพระไปเยี่ยมเล่าว่า หลวงพ่อบอกว่าแมวของท่านที่ตายชื่อไฝไปเกิดเป็นลูกสาวฉันมีไฝที่ปาก บอกชื่อพ่อชื่อแม่ถูกต้องหมด" ท่านถามว่า "
พระองค์ไหนจำได้ไหม" เขาบอกว่า "ถ้าเห็นหน้าก็จำได้" ท่านก็เรียกพระมาทั้งหมด ปรากฏว่าพระ ๒ องค์นั้นไม่มาหนีไปหลังวัด ท่านถามว่า "พระที่ไปบ้านเอ็งมีไหม" เขาตอบว่า "ไม่มี" ท่านก็ให้พระองค์หนึ่งไปตามบอกว่า "มันหนีไปหลัดวัดโน่น ไปตามมา" พระองค์ที่ไปตามไปพบกับพระ ๒ องค์นั้น และให้ไปบอกหลวงพ่อว่า "ตามไม่พบ เดี๋ยวจะไปนอนค้างที่วัดลานคาซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักกับวัดน้อย" พระองค์นั้นก็กลับมาบอกว่า "ไม่พบขอรับ" ท่านก็บอกว่า "มันจะพบได้อย่างไร ก็มันสั่งให้มาบอกว่าไม่พบ" พระองค์นั้นจนด้วยเกล้าต้องยอมรับ
จึงกล่าวได้ว่า หลวงพ่อเนียมมีเจโตปริยญาณและมีทิพพจักขุญาณแจ่มใสดีมาก.."
>>ตายจากไก่ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
อาตมาให้ชื่อเรื่องนี้ว่า "กรรมไก่ของฉัน" เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๓๒ ตอนเช้ามีอาการมึนงงมาก จึงนอนภาวนาคิดว่าร่างกายอาจจะตายก็ได้ เพราะท้องก็ปวดจัด เสมหะก็มาก ขณะที่ภาวนาไปใกล้เวลา ๔ โมงเช้า ก็ปรากฏว่าจิตตกวูบลงจากนิวรณ์ มีอารมณ์สว่างไสว เห็นร่างกายของตัวเองนอนอยู่ แต่ร่างกายนั้นตัวใหญ่มาก ร่างกายสมบูรณ์ทุกอย่าง ผิวพรรณสวยสดงดงาม ผิวขาวเหลือง แต่สองมือกุมขมับแสดงว่ามีอาการปวดศีรษะมาก นอนลุกไม่ขึ้นพร้อมกันนั้นก็มีภาพไก่ตัวเมียประเภทไก่ชนสีนํ้าเงินแก่ค่อนข้างดำ มีลายจุดขาวทั้งตัว ยืนอยู่เหนือศีรษะ
ขณะนั้นก็มีเสียงกังวานดังมาจากข้างบน เป็นเสียงค่อนข้างใหญ่ แต่กังวานมากเพราะมาก บอกว่า "จงบวชเณรๆ"
เมื่อฟังแล้วก็คิดในใจว่าการที่ป่วยคราวนี้เป็นมาเดือนเศษ อาการป่วยพิเศษก็คือมันหนักที่ศีรษะมากและก็ปวดขมับ พอถึงเวลาใกล้จะ ๓ โมงเย็น ก็จะปวดขมับทนแทบไม่ไหว และก็มึนศีรษะมาก ศีรษะหนักลุกขึ้นก็มึนงง ขาไม่มีแรงเดินจวนจะล้ม อาการอย่างนี้เป็นมาเดือนเศษ
เมื่อเห็นภาพไก่อย่างนั้นก็ใช้กำลังใจควบคุม อดทนต่ออาการปวดศีรษะ ทนต่ออาการมึนงง ทนต่ออาการปวดท้อง ใช้กำลังขันติเข้าควบคุมแล้วก็รวบรวมกำลังใจด้วย สังขารุเปกขาญาณ กับใช้กำลังใจอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณและยถากัมมุตาญาณ คิดว่าอาการที่เกิดขึ้นอย่างนี้มันมาจากไหน ชาตินี้ทั้งชาติไก่ตัวเมียไม่เคยฆ่า แต่ที่ฆ่าจริงๆ ในชีวิตนี้มีไก่ตัวผู้ ๒ ตัวเท่านั้น และก็ไม่ใช่ลงมือฆ่าเอง คนอื่นเขาฆ่าแต่พลอยกินกับเขา ถ้าถามว่า "ยินดีกับเขาไหม" เวลานั้นเป็นเด็กในเมื่อผู้ใหญ่เขาจะฆ่ากินมันก็ต้องยินดี แต่ก็ไม่ใช่ยินดีในการฆ่า แต่ยินดีในการกิน ถ้าจะถามว่า "บาปไหม" ก็ต้องตอบว่า "บาป" ร่วมบาปกับเขาเพราะโมทนาความชั่ว การโมทนาความดีได้ไปสวรรค์ การโมทนาความบาปมันก็ไปนรกเหมือนกัน
สำหรับไก่ตัวเมียไม่มีในชาตินี้ ก็ทบทวนกำลังใจหาเหตุหาผล การรู้เองนี่ไม่ค่อยจะแม่นยำนัก บางทีก็พลาด ถึงแม้ว่าการสอบถามก็เหมือนกัน ถ้ากำลังใจของเรามีอุปาทานควบคุมอยู่ก็พลาดเหมือนกัน ต้องทำกำลังใจให้เป็นปกติ
เมื่อกำลังใจเป็นปกติก็ถาม ถามว่า "ไก่ตัวนี้ฆ่าตายมาตั้งแต่เมื่อไร" เสียงกังวานนั้นก็ตอบลงมาว่า "ไก่ตัวนี้เจ้าฆ่าตายเมื่อสมัย ๓ ชาติที่ผ่านมา" คือชาตินี้ไม่นับ ถอยกลับไป ๑, ๒ และ ๓ ถามว่า "ในสมัยนั้นเกิดที่ไหน" เสียงก็ตอบมาว่า "เกิดที่จังหวัดอยุธยา" ถามว่า "เหตุที่ฆ่าเป็นเพราะอะไรจึงฆ่า อยากกินหรือว่าฆ่าด้วยความโกรธ" เสียงนั้นก็ตอบมาพร้อมกับทำภาพปรากฏชัดว่า เวลานั้นเป็นเด็กอายุประมาณ ๑๐ ปี เป็นเด็กวัดอยู่ที่หันตรา จังหวัดอยุธยา ขณะเดินไปเห็นสุนัขของชาวบ้านมันเข้ามาในวัดเป็นสุนัขดุ เวลานั้นไก่ฝูงหนึ่งกำลังกินอาหารอยู่ พอเดินผ่านเข้าไปสุนัขดุมันก็ไล่กวดจะกัด ขณะนั้นมีไม้ท่อนสั้นๆ อยู่ที่มือ ก็ขว้างเจ้าสุนัข แต่เจ้าสุนัขมันหลบ เผอิญไปโดนไก่ตัวนี้ตายพอดี เป็นไก่ชนตัวเมียสีนํ้าเงินแก่และก็มีจุดสีขาวตามตัวสวยมาก เห็นเข้าแล้วก็รู้สึกเสียใจว่า ไก่ที่เรารักไม่น่าจะมาตายเพราะเจ้าสุนัขดุตัวนี้ ก็เข้าไปประคับประคองนำไปหาพระท่าน พระก็พยายามทำการปฐมพยาบาลทุกอย่างแต่ไก่ก็ไม่ฟื้น
ในที่สุดเมื่อไก่ตายแล้ว คนอื่นเขาจะนำไก่ไปกินก็ไม่ยอมเพราะฉันรักไก่มาก จึงขอนำไก่ไปฝัง เวลานั้นมีสตางค์เหลืออยู่ ๑ ไพ พ่อให้ไปเพื่ออยู่ที่วัด ก็นิมนต์พระท่านบังสุกุล เมื่อพระบังสุกุลเสร็จก็ลงมือทำการฝัง ไก่ตัวนี้เราก็รักและพระในวัดท่านก็มีความรักในสัตว์ ท่านจัดอาหารมาก็ให้อาตมาเป็นคนเลี้ยง เมื่อเลี้ยงแล้วปรากฏว่าอาตมาก็รักมัน จึงถามว่า "เวลานี้ไก่ตัวนี้ตายแล้วไปอยู่ไหน ไปเกิดเป็นไก่หรือว่าเกิดเป็นคน หรือเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นนางฟ้า" เสียงท่านตอบมาว่า "เจ้าจงไปดาวดึงส์ ไปที่ปัญจสิกขเทพบุตร เจ้าจะพบไก่ตัวที่เจ้าขว้างตายและเป็นไก่ที่เจ้ารัก" จึงตามเสียงนั้นขึ้นไปที่ดาวดึงส์ ไปหาท่านปัญจสิกขเทพบุตร
เมื่อไปถึงแล้วก็ปรากฏว่าท่านคอยต้อนรับอยู่ ก็ถามท่านว่า "ไก่ที่ฉันขว้างถึงแก่ความตายเวลานี้อยู่ที่ไหน" ท่านตอบว่า "ถามผิดให้ถามใหม่ คือว่าไก่ที่เธอขว้างถึงแก่ความตายนั้นไม่มี (ตั้งใจขว้างไก่) มีแต่ไก่ตัวที่เธอตั้งใจขว้างสุนัขแต่เผอิญไปถูกไก่นี้มีอยู่" ก็เลยบอกท่านว่า "ตามนั้นแหละ" ท่านก็ชี้ให้ไปดู นางฟ้าที่นั่งใกล้ๆ เป็นคนโปร่งบาง ผิวขาว แต่งตัวสวยมาก เธอยิ้มแย้มแจ่มใส พอหันหน้าไปหาเธอ เธอก็ยกมือไหว้และถามว่า "จำดิฉันได้ไหมเจ้าคะ" ก็เลยบอกว่า "ถ้าเป็นไก่อาจจะจำได้" ภาพไก่ก็ปรากฏข้างเธอ เธอก็บอกว่า "ฉันคือไก่ตัวนี้เจ้าค่ะ"
ถามเธอว่า "เธอตายจากไก่ที่ถูกขว้างขณะกำลังกินอาหารอยู่ แล้วเธอมาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ได้อย่างไร"
เธอก็ตอบว่า "เวลานั้นเธอมีจิตรักพระมาก พระทุกองค์ในวัดมีจิตเมตตาปรานีในสัตว์ เวลาพระมาเลี้ยงอาหารก็ไม่ต้องเรียก ไม่ต้องต้อน ไก่ทุกตัวเห็นพระก็วิ่งเข้ามาหา และท่านเองก็เป็นคนลงมือเลี้ยง ฉันก็มีความรักในท่าน อาศัยที่มีความรักในพระและมีความรักในท่านที่มีจิตเมตตา ขณะที่ถูกขว้างก็ยังไม่ตายทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่สลบเพราะความรู้สึกตัวยังมีอยู่ ขณะที่ท่านเข้าไปอุ้มก็ยังมีความรู้สึก เวลาที่พระทำปฐมพยาบาลเอามือลูบตัวไปลูบตัวมา ก็มีความรู้สึกคลายจากความเจ็บปวด เมื่อความเจ็บปวดหายไป ประเดี๋ยวหนึ่งจิตใจก็ชุ่มชื่น เวลานั้นจิตก็ออกจากร่างทันที แต่ก่อนที่จิตจะออกจากร่างก็เห็นนางฟ้าลอยอยู่ในอากาศมากมาย จิตใจก็รักนางฟ้า เมื่อจิตออกจากร่างกายก็กลายเป็นนางฟ้า และติดตามนางฟ้าพวกนั้นไป"
จึงได้ถามว่า "ในเมื่อเธอเป็นนางฟ้าแล้วยังจองเวรจองกรรมฉันอยู่อีกหรือ"
เธอก็ตอบว่า "การจองเวรจองกรรมไม่มีในฉัน คือไม่มีเวรไม่มีกรรมที่จะจอง อาการที่ท่านป่วยไข้ไม่สบายเป็นกฎของกรรม ไม่ใช่ตัวถูกกระทำ ผู้ถูกกระทำมีความสุขและมีความรู้สึกขอบคุณในพระในท่านที่ช่วยเหลือ ทำไมฉันจะต้องจองเวรจองกรรม แต่นั่นเป็นกฎของกรรมที่ฉันไม่ได้เกี่ยวข้อง"
ทุกคนจงจำไว้ด้วยว่าการกระทำ เราฆ่าปลาก็ดี ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควายก็ตาม จงอย่านึกว่าเขาเป็นผู้จองเวรจองกรรม แต่ทว่าสิ่งที่กระทำกับเราก็คือ กฎของกรรม คือความชั่วที่เราฆ่าเขามันมาสนองตัวเรา ก็รวมความว่าเธอไม่ได้จองเวรจองกรรม ถามเธอว่า "อโหสิกรรมไหม" เธอตอบว่า "ไม่มีกรรมอันใดที่จะต้องอโหสิ เพราะฉันไม่ถืออยู่แล้วว่าฆ่าฉัน ฉันไม่ได้โกรธ เป็นแต่เพียงว่าขอให้ท่านปฏิบัติแก้กฎของกรรมให้พ้นไปก็แล้วกัน ฉันตามช่วย" ถามเธอว่า "เสียงบอกให้บวชเณร เธอจะว่าอย่างไร"
เธอตอบว่า "ต้องบวชเณรเป็นการแก้กฎของกรรม"
ก็ตกลงจะบวชเณรให้ในวันอาทิตย์ที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๒.."
ขณะนั้นก็มีเสียงกังวานดังมาจากข้างบน เป็นเสียงค่อนข้างใหญ่ แต่กังวานมากเพราะมาก บอกว่า "จงบวชเณรๆ"
เมื่อฟังแล้วก็คิดในใจว่าการที่ป่วยคราวนี้เป็นมาเดือนเศษ อาการป่วยพิเศษก็คือมันหนักที่ศีรษะมากและก็ปวดขมับ พอถึงเวลาใกล้จะ ๓ โมงเย็น ก็จะปวดขมับทนแทบไม่ไหว และก็มึนศีรษะมาก ศีรษะหนักลุกขึ้นก็มึนงง ขาไม่มีแรงเดินจวนจะล้ม อาการอย่างนี้เป็นมาเดือนเศษ
เมื่อเห็นภาพไก่อย่างนั้นก็ใช้กำลังใจควบคุม อดทนต่ออาการปวดศีรษะ ทนต่ออาการมึนงง ทนต่ออาการปวดท้อง ใช้กำลังขันติเข้าควบคุมแล้วก็รวบรวมกำลังใจด้วย สังขารุเปกขาญาณ กับใช้กำลังใจอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณและยถากัมมุตาญาณ คิดว่าอาการที่เกิดขึ้นอย่างนี้มันมาจากไหน ชาตินี้ทั้งชาติไก่ตัวเมียไม่เคยฆ่า แต่ที่ฆ่าจริงๆ ในชีวิตนี้มีไก่ตัวผู้ ๒ ตัวเท่านั้น และก็ไม่ใช่ลงมือฆ่าเอง คนอื่นเขาฆ่าแต่พลอยกินกับเขา ถ้าถามว่า "ยินดีกับเขาไหม" เวลานั้นเป็นเด็กในเมื่อผู้ใหญ่เขาจะฆ่ากินมันก็ต้องยินดี แต่ก็ไม่ใช่ยินดีในการฆ่า แต่ยินดีในการกิน ถ้าจะถามว่า "บาปไหม" ก็ต้องตอบว่า "บาป" ร่วมบาปกับเขาเพราะโมทนาความชั่ว การโมทนาความดีได้ไปสวรรค์ การโมทนาความบาปมันก็ไปนรกเหมือนกัน
สำหรับไก่ตัวเมียไม่มีในชาตินี้ ก็ทบทวนกำลังใจหาเหตุหาผล การรู้เองนี่ไม่ค่อยจะแม่นยำนัก บางทีก็พลาด ถึงแม้ว่าการสอบถามก็เหมือนกัน ถ้ากำลังใจของเรามีอุปาทานควบคุมอยู่ก็พลาดเหมือนกัน ต้องทำกำลังใจให้เป็นปกติ
เมื่อกำลังใจเป็นปกติก็ถาม ถามว่า "ไก่ตัวนี้ฆ่าตายมาตั้งแต่เมื่อไร" เสียงกังวานนั้นก็ตอบลงมาว่า "ไก่ตัวนี้เจ้าฆ่าตายเมื่อสมัย ๓ ชาติที่ผ่านมา" คือชาตินี้ไม่นับ ถอยกลับไป ๑, ๒ และ ๓ ถามว่า "ในสมัยนั้นเกิดที่ไหน" เสียงก็ตอบมาว่า "เกิดที่จังหวัดอยุธยา" ถามว่า "เหตุที่ฆ่าเป็นเพราะอะไรจึงฆ่า อยากกินหรือว่าฆ่าด้วยความโกรธ" เสียงนั้นก็ตอบมาพร้อมกับทำภาพปรากฏชัดว่า เวลานั้นเป็นเด็กอายุประมาณ ๑๐ ปี เป็นเด็กวัดอยู่ที่หันตรา จังหวัดอยุธยา ขณะเดินไปเห็นสุนัขของชาวบ้านมันเข้ามาในวัดเป็นสุนัขดุ เวลานั้นไก่ฝูงหนึ่งกำลังกินอาหารอยู่ พอเดินผ่านเข้าไปสุนัขดุมันก็ไล่กวดจะกัด ขณะนั้นมีไม้ท่อนสั้นๆ อยู่ที่มือ ก็ขว้างเจ้าสุนัข แต่เจ้าสุนัขมันหลบ เผอิญไปโดนไก่ตัวนี้ตายพอดี เป็นไก่ชนตัวเมียสีนํ้าเงินแก่และก็มีจุดสีขาวตามตัวสวยมาก เห็นเข้าแล้วก็รู้สึกเสียใจว่า ไก่ที่เรารักไม่น่าจะมาตายเพราะเจ้าสุนัขดุตัวนี้ ก็เข้าไปประคับประคองนำไปหาพระท่าน พระก็พยายามทำการปฐมพยาบาลทุกอย่างแต่ไก่ก็ไม่ฟื้น
ในที่สุดเมื่อไก่ตายแล้ว คนอื่นเขาจะนำไก่ไปกินก็ไม่ยอมเพราะฉันรักไก่มาก จึงขอนำไก่ไปฝัง เวลานั้นมีสตางค์เหลืออยู่ ๑ ไพ พ่อให้ไปเพื่ออยู่ที่วัด ก็นิมนต์พระท่านบังสุกุล เมื่อพระบังสุกุลเสร็จก็ลงมือทำการฝัง ไก่ตัวนี้เราก็รักและพระในวัดท่านก็มีความรักในสัตว์ ท่านจัดอาหารมาก็ให้อาตมาเป็นคนเลี้ยง เมื่อเลี้ยงแล้วปรากฏว่าอาตมาก็รักมัน จึงถามว่า "เวลานี้ไก่ตัวนี้ตายแล้วไปอยู่ไหน ไปเกิดเป็นไก่หรือว่าเกิดเป็นคน หรือเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นนางฟ้า" เสียงท่านตอบมาว่า "เจ้าจงไปดาวดึงส์ ไปที่ปัญจสิกขเทพบุตร เจ้าจะพบไก่ตัวที่เจ้าขว้างตายและเป็นไก่ที่เจ้ารัก" จึงตามเสียงนั้นขึ้นไปที่ดาวดึงส์ ไปหาท่านปัญจสิกขเทพบุตร
เมื่อไปถึงแล้วก็ปรากฏว่าท่านคอยต้อนรับอยู่ ก็ถามท่านว่า "ไก่ที่ฉันขว้างถึงแก่ความตายเวลานี้อยู่ที่ไหน" ท่านตอบว่า "ถามผิดให้ถามใหม่ คือว่าไก่ที่เธอขว้างถึงแก่ความตายนั้นไม่มี (ตั้งใจขว้างไก่) มีแต่ไก่ตัวที่เธอตั้งใจขว้างสุนัขแต่เผอิญไปถูกไก่นี้มีอยู่" ก็เลยบอกท่านว่า "ตามนั้นแหละ" ท่านก็ชี้ให้ไปดู นางฟ้าที่นั่งใกล้ๆ เป็นคนโปร่งบาง ผิวขาว แต่งตัวสวยมาก เธอยิ้มแย้มแจ่มใส พอหันหน้าไปหาเธอ เธอก็ยกมือไหว้และถามว่า "จำดิฉันได้ไหมเจ้าคะ" ก็เลยบอกว่า "ถ้าเป็นไก่อาจจะจำได้" ภาพไก่ก็ปรากฏข้างเธอ เธอก็บอกว่า "ฉันคือไก่ตัวนี้เจ้าค่ะ"
ถามเธอว่า "เธอตายจากไก่ที่ถูกขว้างขณะกำลังกินอาหารอยู่ แล้วเธอมาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ได้อย่างไร"
เธอก็ตอบว่า "เวลานั้นเธอมีจิตรักพระมาก พระทุกองค์ในวัดมีจิตเมตตาปรานีในสัตว์ เวลาพระมาเลี้ยงอาหารก็ไม่ต้องเรียก ไม่ต้องต้อน ไก่ทุกตัวเห็นพระก็วิ่งเข้ามาหา และท่านเองก็เป็นคนลงมือเลี้ยง ฉันก็มีความรักในท่าน อาศัยที่มีความรักในพระและมีความรักในท่านที่มีจิตเมตตา ขณะที่ถูกขว้างก็ยังไม่ตายทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่สลบเพราะความรู้สึกตัวยังมีอยู่ ขณะที่ท่านเข้าไปอุ้มก็ยังมีความรู้สึก เวลาที่พระทำปฐมพยาบาลเอามือลูบตัวไปลูบตัวมา ก็มีความรู้สึกคลายจากความเจ็บปวด เมื่อความเจ็บปวดหายไป ประเดี๋ยวหนึ่งจิตใจก็ชุ่มชื่น เวลานั้นจิตก็ออกจากร่างทันที แต่ก่อนที่จิตจะออกจากร่างก็เห็นนางฟ้าลอยอยู่ในอากาศมากมาย จิตใจก็รักนางฟ้า เมื่อจิตออกจากร่างกายก็กลายเป็นนางฟ้า และติดตามนางฟ้าพวกนั้นไป"
จึงได้ถามว่า "ในเมื่อเธอเป็นนางฟ้าแล้วยังจองเวรจองกรรมฉันอยู่อีกหรือ"
เธอก็ตอบว่า "การจองเวรจองกรรมไม่มีในฉัน คือไม่มีเวรไม่มีกรรมที่จะจอง อาการที่ท่านป่วยไข้ไม่สบายเป็นกฎของกรรม ไม่ใช่ตัวถูกกระทำ ผู้ถูกกระทำมีความสุขและมีความรู้สึกขอบคุณในพระในท่านที่ช่วยเหลือ ทำไมฉันจะต้องจองเวรจองกรรม แต่นั่นเป็นกฎของกรรมที่ฉันไม่ได้เกี่ยวข้อง"
ทุกคนจงจำไว้ด้วยว่าการกระทำ เราฆ่าปลาก็ดี ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควายก็ตาม จงอย่านึกว่าเขาเป็นผู้จองเวรจองกรรม แต่ทว่าสิ่งที่กระทำกับเราก็คือ กฎของกรรม คือความชั่วที่เราฆ่าเขามันมาสนองตัวเรา ก็รวมความว่าเธอไม่ได้จองเวรจองกรรม ถามเธอว่า "อโหสิกรรมไหม" เธอตอบว่า "ไม่มีกรรมอันใดที่จะต้องอโหสิ เพราะฉันไม่ถืออยู่แล้วว่าฆ่าฉัน ฉันไม่ได้โกรธ เป็นแต่เพียงว่าขอให้ท่านปฏิบัติแก้กฎของกรรมให้พ้นไปก็แล้วกัน ฉันตามช่วย" ถามเธอว่า "เสียงบอกให้บวชเณร เธอจะว่าอย่างไร"
เธอตอบว่า "ต้องบวชเณรเป็นการแก้กฎของกรรม"
ก็ตกลงจะบวชเณรให้ในวันอาทิตย์ที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๒.."
>>สุนัขชื่อ "สิงห์ดอก" ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี
ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท มีคนเอาหมามาปล่อยเสมอๆ จนปรากฏเป็นฝูงใหญ่ หมาฝูงนี้มีหัวหน้าอยู่ตัวหนึ่ง ตัวเป็นดอกๆ เลยเรียกกันว่า "เจ้าสิงห์ดอก" หมาตัวนี้รู้สึกว่าจะมีความเฉลียวฉลาดผิดหมาทั่วไป รู้จักฟังธรรมและบังคับบัญชาลูกน้อง เวลาจะมีคนมาขโมยของวัด เจ้าสิงห์ดอกจะจัดวางกำลังกองทัพหมาไว้ป้องกันเป็นอย่างดี
วันหนึ่งไม่รู้ว่าเจ้าสิงห์ดอกเขานึกอย่างไร เขาจัดการวางกำลัง จัดกำลังไว้บนกุฏิ ๔ ตัว ที่วัดมีช่องทางเข้าวัด ๓ ทาง มันก็วางกำลังจุกไว้หมดทุกทาง แล้วก็มีอีกชุดหนึ่งนอนรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม สักประเดี๋ยวมันก็กระโดดไปทางฝั่งกุฏิของพระครูวิชาญ เดี๋ยวเดียวมีเสียงเป๋ง ไอ้ตัวนั้นคงหลับ ทุกคืนไม่เคยมีอย่างนี้ ก็เลยสั่งพระสั่งเณรว่าคืนนี้พร้อมไว้ เราเป็นทหารของพระพุทธเจ้า ถ้าใครมาเอาของสงฆ์ละเอาชีวิตแลกเลย
เวลาสักทุ่มเศษๆ เราดับไฟเงียบแล้วนอนกันอยู่ที่นั่น ห้ามพูด ห้ามสูบบุหรี่ พอหกทุ่มกว่าๆ เสียงข้างล่างเจี๊ยวเลย คือที่ชายป่ามีเสียงเห่า เจ้าสิงห์ดอกก็เดินยามของเขาไม่ได้หยุดเลย พอมีเสียงเห่ามันก็ขับฝูงพิเศษพรวดออกไปตัวเขาก็กระโดดตาม
ปรากฏว่าตอนเช้าได้ปืนกระบอกหนึ่ง ผ้าขาวม้า ๒ ผืน ป่าราบไปเลย
โดยปกติต้องเลี้ยงข้าวกะละมังขนาดพระหิ้ว ๒ องค์ มื้อละตั้ง ๓ กะละมัง ชาวบ้านเขาเห็นเขากลัวหมาอด ทีนี้ก็เอาข้าวสารมาเลี้ยงหมาไม่ใช่เลี้ยงพระ คราวหนึ่งต้องไปที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เดือนหนึ่ง ก็สั่งพระสั่งเณรไว้ ให้สตางค์ไว้ ถ้าข้าวสารไม่มีกับข้าวไม่มี ก็ให้เอาปลามาต้มเค็มเพราะมันกินได้นาน ถ้ามันเริ่มจะไม่กินก็เปลี่ยนเป็นต้มยำบ้าง ต้มส้มก็ได้ พอกลับมาปรากฏว่าสตางค์ไม่หมด เขาบอกว่าอาตมาไม่อยู่ ชาวบ้านเขากลัวหมาอดก็เอาต้มเค็มบ้าง ต้มส้มบ้าง หม้อใหญ่ๆ เลย
เณรที่มีหน้าที่อุ่นอาหารตอนนั้นชื่อ "เปีย" บอกอาตมาไม่อยู่ยิ่งรวยใหญ่
คราวหนึ่งมีข่าวว่าผู้ร้ายจะมาเอาพระพุทธรูป เป็นพระสุโขทัยสำริดเงิน
คำว่า "สำริด" มี ๓ อย่าง คือ มีทองคำ มีเงิน และก็ดีบุก เขาเรียกว่า "สามฤทธิ์" ไม่ใช่สำริด เราเรียกเสียงห้วนไป ตาชมช่างหล่อพระเขาบอก ถ้าออกสีของแร่ไหนมากก็เรียกสำริดอย่างนั้น นอกจากพระสุโขทัยสำริดเงินแล้วยังมีพระเชียงแสนอีก ๒ องค์ ของเก่าทั้งนั้นที่ขโมยมุ่งจะเอา มาวันหนึ่งยายแก่ไปหาหน่อไม้ ไปเจอะมันกำลังนอนสูบใบพลูอยู่ใต้กอไผ่ ๕ คน แกก็เลยส่งข่าวมาบอก ตอนนั้นหลังวัดยังเป็นป่าอยู่ แต่เวลานี้เขาถางหมดแล้ว พระครูวิชาญได้สร้างโรงเรียน เมื่อได้ข่าวก็ไปบอกผู้บังคับกองตำรวจชื่อ "จำลอง" เลยให้ตำรวจมา ๔ คน แกบอกว่า "หลวงพ่อทหารมาก ผมว่าตำรวจคนเดียวก็พอ"
เอ..ดันไปเชื่อหมาเสียอีก พอดีทายกเขามาก็เลยบอกสองสามคืนให้มานอนด้วยกันหน่อย ยังไงๆ มันต้องกดคอพระครูวิชาญแน่ ไอ้จะปล้นแบบตูมตามน่ะมันไม่ทำหรอก
พอคืนที่สองเจ้าสิงห์ดอกจัดเวรอีกแล้ว เลยบอกตำรวจสังเกตคืนนี้ขโมยต้องเข้า ให้เตรียมตะครุบให้ดีเถอะ ถึงเวลามันเข้ามา มองเห็นคนร้ายไปชิดกุฏิพระครูวิชาญ เอาไม้พาดกำลังจะปีนขึ้นเท่านั้น ไม่มีเสียงเลย เจ้าสิงห์ดอกบุกเงียบ มันฟัดเสียแหลกเลย หน้าตาเละหมด ได้ครบ ๕ คนโดยตำรวจไม่ต้องยิงเลย
เจ้าสิงห์ดอกนี้มันเก่งจริงๆ เวลาเจริญพระกรรมฐานเขาต้องมาอยู่หมดทั้งฝูง วันนั้นมันจะตาย ตอนคํ่าเจริญพระกรรมฐานเขามาอยู่ด้วย ตอนตี ๒ ฉันออกไปเจริญพระกรรมฐานหน้ากุฏิคนเดียว ตามปกติมันนั่งอยู่หน้าลูกกรง แต่วันนั้นมันขอเข้าก็เลยให้เข้า มันเข้ามานอนเอาหัวพาดตัก พอตี ๔ พระลุกขึ้นทำวัตร มันก็ลุกบ้าง ปลัดบุญธรรมแกทักว่า "อ้อ..สิงห์ดอกรึมานี่ มาหาหลวงพี่ที่นี่" มันก็เข้าไปใกล้ไปนอนฟังจนจบ จบแล้วก็กลับมาที่หน้าพระพุทธรูปที่เขาเจริญพระกรรมฐาน แล้วตายตรงนั้น
เวลาเขาตายเราก็ไม่รู้ พอใกล้สว่าง เห็นเทวดาองค์หนึ่งสว่างจ้าเลย ถามว่า "ใคร" เขาตอบว่า "ผมเทวดาสิงห์ดอกครับ" ถามชื่อจริงๆ เขาก็บอกแต่จำไม่ได้แล้ว ทรงผ้าพื้นเขียว เสื้อพื้นขาวแต่เพชรพราว ถามแกว่า "อยู่ชั้นไหน" ตอบว่า "ชั้นปรนิมมิตวสวัสดีครับ" ชั้นปรนิมมิตวสวัสดีนี่เขาต้องได้ฌาน ๔ นะ เขาบอกว่า "ผมก็ได้เหมือนกันนี่ครับ" เอ๊ะ ได้อย่างไร เขาอธิบายว่า"ที่หลวงพ่อไปทำพระกรรมฐานนั้น ผมก็ไปนั่งด้วยความเคารพ จิตมันทรงตัว"
จริงสิ เวลาเทศน์เป็นไม่ได้ เจ้าสิงห์ดอกเขามานั่งหรี่ตามอง ทำหางกระดุกกระดิกๆ ชอบใจจนกว่าจะจบ ไม่ว่าใครเทศน์มันก็ไป พอพระตีระฆังเท่านั้นไปแล้วอยู่ไม่ได้
นี่เห็นไหม หมาไปเป็นเทวดาได้ แต่คนถ้าตายแล้วไปเกิดเป็นหมาก็ซวยเต็มทีละ.."
วันหนึ่งไม่รู้ว่าเจ้าสิงห์ดอกเขานึกอย่างไร เขาจัดการวางกำลัง จัดกำลังไว้บนกุฏิ ๔ ตัว ที่วัดมีช่องทางเข้าวัด ๓ ทาง มันก็วางกำลังจุกไว้หมดทุกทาง แล้วก็มีอีกชุดหนึ่งนอนรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม สักประเดี๋ยวมันก็กระโดดไปทางฝั่งกุฏิของพระครูวิชาญ เดี๋ยวเดียวมีเสียงเป๋ง ไอ้ตัวนั้นคงหลับ ทุกคืนไม่เคยมีอย่างนี้ ก็เลยสั่งพระสั่งเณรว่าคืนนี้พร้อมไว้ เราเป็นทหารของพระพุทธเจ้า ถ้าใครมาเอาของสงฆ์ละเอาชีวิตแลกเลย
เวลาสักทุ่มเศษๆ เราดับไฟเงียบแล้วนอนกันอยู่ที่นั่น ห้ามพูด ห้ามสูบบุหรี่ พอหกทุ่มกว่าๆ เสียงข้างล่างเจี๊ยวเลย คือที่ชายป่ามีเสียงเห่า เจ้าสิงห์ดอกก็เดินยามของเขาไม่ได้หยุดเลย พอมีเสียงเห่ามันก็ขับฝูงพิเศษพรวดออกไปตัวเขาก็กระโดดตาม
ปรากฏว่าตอนเช้าได้ปืนกระบอกหนึ่ง ผ้าขาวม้า ๒ ผืน ป่าราบไปเลย
โดยปกติต้องเลี้ยงข้าวกะละมังขนาดพระหิ้ว ๒ องค์ มื้อละตั้ง ๓ กะละมัง ชาวบ้านเขาเห็นเขากลัวหมาอด ทีนี้ก็เอาข้าวสารมาเลี้ยงหมาไม่ใช่เลี้ยงพระ คราวหนึ่งต้องไปที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เดือนหนึ่ง ก็สั่งพระสั่งเณรไว้ ให้สตางค์ไว้ ถ้าข้าวสารไม่มีกับข้าวไม่มี ก็ให้เอาปลามาต้มเค็มเพราะมันกินได้นาน ถ้ามันเริ่มจะไม่กินก็เปลี่ยนเป็นต้มยำบ้าง ต้มส้มก็ได้ พอกลับมาปรากฏว่าสตางค์ไม่หมด เขาบอกว่าอาตมาไม่อยู่ ชาวบ้านเขากลัวหมาอดก็เอาต้มเค็มบ้าง ต้มส้มบ้าง หม้อใหญ่ๆ เลย
เณรที่มีหน้าที่อุ่นอาหารตอนนั้นชื่อ "เปีย" บอกอาตมาไม่อยู่ยิ่งรวยใหญ่
คราวหนึ่งมีข่าวว่าผู้ร้ายจะมาเอาพระพุทธรูป เป็นพระสุโขทัยสำริดเงิน
คำว่า "สำริด" มี ๓ อย่าง คือ มีทองคำ มีเงิน และก็ดีบุก เขาเรียกว่า "สามฤทธิ์" ไม่ใช่สำริด เราเรียกเสียงห้วนไป ตาชมช่างหล่อพระเขาบอก ถ้าออกสีของแร่ไหนมากก็เรียกสำริดอย่างนั้น นอกจากพระสุโขทัยสำริดเงินแล้วยังมีพระเชียงแสนอีก ๒ องค์ ของเก่าทั้งนั้นที่ขโมยมุ่งจะเอา มาวันหนึ่งยายแก่ไปหาหน่อไม้ ไปเจอะมันกำลังนอนสูบใบพลูอยู่ใต้กอไผ่ ๕ คน แกก็เลยส่งข่าวมาบอก ตอนนั้นหลังวัดยังเป็นป่าอยู่ แต่เวลานี้เขาถางหมดแล้ว พระครูวิชาญได้สร้างโรงเรียน เมื่อได้ข่าวก็ไปบอกผู้บังคับกองตำรวจชื่อ "จำลอง" เลยให้ตำรวจมา ๔ คน แกบอกว่า "หลวงพ่อทหารมาก ผมว่าตำรวจคนเดียวก็พอ"
เอ..ดันไปเชื่อหมาเสียอีก พอดีทายกเขามาก็เลยบอกสองสามคืนให้มานอนด้วยกันหน่อย ยังไงๆ มันต้องกดคอพระครูวิชาญแน่ ไอ้จะปล้นแบบตูมตามน่ะมันไม่ทำหรอก
พอคืนที่สองเจ้าสิงห์ดอกจัดเวรอีกแล้ว เลยบอกตำรวจสังเกตคืนนี้ขโมยต้องเข้า ให้เตรียมตะครุบให้ดีเถอะ ถึงเวลามันเข้ามา มองเห็นคนร้ายไปชิดกุฏิพระครูวิชาญ เอาไม้พาดกำลังจะปีนขึ้นเท่านั้น ไม่มีเสียงเลย เจ้าสิงห์ดอกบุกเงียบ มันฟัดเสียแหลกเลย หน้าตาเละหมด ได้ครบ ๕ คนโดยตำรวจไม่ต้องยิงเลย
เจ้าสิงห์ดอกนี้มันเก่งจริงๆ เวลาเจริญพระกรรมฐานเขาต้องมาอยู่หมดทั้งฝูง วันนั้นมันจะตาย ตอนคํ่าเจริญพระกรรมฐานเขามาอยู่ด้วย ตอนตี ๒ ฉันออกไปเจริญพระกรรมฐานหน้ากุฏิคนเดียว ตามปกติมันนั่งอยู่หน้าลูกกรง แต่วันนั้นมันขอเข้าก็เลยให้เข้า มันเข้ามานอนเอาหัวพาดตัก พอตี ๔ พระลุกขึ้นทำวัตร มันก็ลุกบ้าง ปลัดบุญธรรมแกทักว่า "อ้อ..สิงห์ดอกรึมานี่ มาหาหลวงพี่ที่นี่" มันก็เข้าไปใกล้ไปนอนฟังจนจบ จบแล้วก็กลับมาที่หน้าพระพุทธรูปที่เขาเจริญพระกรรมฐาน แล้วตายตรงนั้น
เวลาเขาตายเราก็ไม่รู้ พอใกล้สว่าง เห็นเทวดาองค์หนึ่งสว่างจ้าเลย ถามว่า "ใคร" เขาตอบว่า "ผมเทวดาสิงห์ดอกครับ" ถามชื่อจริงๆ เขาก็บอกแต่จำไม่ได้แล้ว ทรงผ้าพื้นเขียว เสื้อพื้นขาวแต่เพชรพราว ถามแกว่า "อยู่ชั้นไหน" ตอบว่า "ชั้นปรนิมมิตวสวัสดีครับ" ชั้นปรนิมมิตวสวัสดีนี่เขาต้องได้ฌาน ๔ นะ เขาบอกว่า "ผมก็ได้เหมือนกันนี่ครับ" เอ๊ะ ได้อย่างไร เขาอธิบายว่า"ที่หลวงพ่อไปทำพระกรรมฐานนั้น ผมก็ไปนั่งด้วยความเคารพ จิตมันทรงตัว"
จริงสิ เวลาเทศน์เป็นไม่ได้ เจ้าสิงห์ดอกเขามานั่งหรี่ตามอง ทำหางกระดุกกระดิกๆ ชอบใจจนกว่าจะจบ ไม่ว่าใครเทศน์มันก็ไป พอพระตีระฆังเท่านั้นไปแล้วอยู่ไม่ได้
นี่เห็นไหม หมาไปเป็นเทวดาได้ แต่คนถ้าตายแล้วไปเกิดเป็นหมาก็ซวยเต็มทีละ.."
>>ตายจากกบ ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
เมื่อคืนวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๓๑ อาตมาได้อ่านหนังสือพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ หน้า ๗๔ ไปพบเรื่องที่ถูกใจเรื่องหนึ่งคือเรื่อง "มัณฑุเทพบุตรวิมาน" แต่อาตมาขอให้นามว่า "เทวดากบ" ตามบาลีท่านว่า พระพุทธเจ้าตรัสถามเทวดากบว่า "นั่นใครมีผิวพรรณสวยงามมาก รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์และยศสว่างทั่วจักรวาล ไหว้เท้าทั้งสองของตถาคตอยู่" เทวดากบกราบทูลว่า "เมื่อชาติก่อนข้าพระองค์เป็นกบ เที่ยวหาอาหารอยู่ในถํ้า เมื่อข้าพระองค์ฟังธรรมของพระองค์อยู่ คนเลี้ยงโคได้ฆ่าข้าพระองค์ ข้าพระองค์ตายจากความเป็นกบไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวรรณะ ยศ ฤทธิ์ เช่นนี้เพราะมีจิตเลื่อมใส ฟังธรรมะของพระองค์เพียงครู่เดียว สำหรับท่านที่มีโอกาสฟังนานๆ มีหวังไปพระนิพพานสิ้นทุกข์ เป็นดินแดนสิ้นโศก สิ้นความเร่าร้อนพระเจ้าข้า"
เป็นอันว่าเรื่องนี้ยืนยันว่า สัตว์เดรัจฉานก็ทำบุญได้ ตามที่นักเทศน์ชอบเทศน์กันว่า เทวดา พรหม สัตว์ ทำบุญไม่ได้ เป็นอันว่าท่านลืมอ่านพระไตรปิฎก
วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๑ หลังจากอาตมาฉันเพลแล้ว ก็เข้าที่พักนอนคอยเวลาเพื่อลงรับแขกตามปกติ จึงนึกถึงท่านเทวดากบ คิดว่าท่านเป็นกบ ท่านเป็นเทวดาได้ เราเป็นคนลำบากเกือบตายสู้กบไม่ได้ อยากจะทราบว่าท่านนิพพานแล้วหรือยัง ถ้ายังท่านมีวิมานและทิพยสมบัติเป็นอย่างไร เมื่อนึกถึงท่านก็ปรากฏทั้งกายทั้งวิมาน ท่านทำให้เห็นชัดเท่าเห็นคนธรรมดา ท่านสวยแสงสว่างก็มากแต่ท่านไม่สวมชฎา วิมานก็สวย จึงถามท่านว่า "ทำไมจึงไม่สวมชฎา" ท่านบอกว่า "ท่านมาหาพระ ท่านไม่รีบกลับจึงไม่สวมชฎา" ขอให้ท่านสวมชฎา เมื่อชฎาปรากฏบนศีรษะ ไม่ได้หยิบสวมเหมือนคนปรากฏขึ้นเอง ดูสวยไปอีกแบบหนึ่ง แล้วชฎาก็สลายไป
ถามท่านว่า "เมื่อถูกคนเลี้ยงโคแทงแล้วตายทันทีหรือเปล่า" ท่านบอกว่า "ยังไม่ตาย เขาเอาเหล็กแทงเอาเชือกร้อยแล้วลากไปกับพื้นดิน เพราะเขาหากบต่อไป มันเจ็บปวดที่สุด เมื่อถึงบ้านเขาวางตากแดดไว้ที่ชานบ้าน มันเจ็บปวดและร้อนแดดเพิ่มเข้าอีก ในที่สุดก็ตาย ทุกข์มากเหลือเกิน ถามท่านว่า "เมื่อมาเป็นเทวดาแล้ว คิดอยากเกิดเป็นกบหรืออยากเกิดเป็นมนุษย์อีกไหม" ท่านยิ้มแล้วตอบว่า "ไม่อยากเกิดเป็นอะไรเลยครับ มนุษย์ก็ทุกข์ สัตว์ก็ทุกข์ แม้เทวดาผมก็ไม่อยากเป็นอีก อยากไปนิพพาน" ถามท่านว่า "ท่านฟังเทศน์สมัยพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นเทวดาแล้วได้ฟังต่ออีกไหม" ท่านบอกว่า "ฟังอีกหลายครั้ง" ถามท่านว่า "เป็นพระโสดาบันหรือยัง" ท่านบอกว่า "เวลานี้ผมเป็นพระสกิทาคามีผลขอรับ" คนถามหน้าแหงเลย เมื่อถามว่า "เพราะกรรมอะไรจึงเกิดเป็นกบ"
ภาพที่ปรากฏก็คือ ท่านเองเป็นชายสูงโปร่ง ผิวดำ เป็นลูกชาวนา เมื่อไถนาเสร็จแล้วก็เที่ยวหากบ ได้แล้วก็เอาเหล็กแหลมแทง ร้อยเชือกลากกบไปเหมือนที่เขาทำกับท่าน ท่านบอกว่าเศษบาปผมยังชำระไม่หมด ถ้าไปเกิดใหม่ต้องชำระหนี้อีกมาก จึงอยากจะไปพระนิพพานเลย
เมื่อคุยกับเทวดากบสักครู่หนึ่ง ท่านย่ากับท่านแม่ศรีก็มา ท่านทั้งสองรู้จักกับเทวดากบดี ท่านเทวดากบเคารพท่านย่าและท่านแม่ศรีมาก ท่านแม่ศรีบอกว่า "เทวดากบเคยเกิดเป็นลูกมาหลายชาติ" ท่านนึกกันออกรู้ได้เหมือนกันทั้งสองฝ่าย.."
เป็นอันว่าเรื่องนี้ยืนยันว่า สัตว์เดรัจฉานก็ทำบุญได้ ตามที่นักเทศน์ชอบเทศน์กันว่า เทวดา พรหม สัตว์ ทำบุญไม่ได้ เป็นอันว่าท่านลืมอ่านพระไตรปิฎก
วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๑ หลังจากอาตมาฉันเพลแล้ว ก็เข้าที่พักนอนคอยเวลาเพื่อลงรับแขกตามปกติ จึงนึกถึงท่านเทวดากบ คิดว่าท่านเป็นกบ ท่านเป็นเทวดาได้ เราเป็นคนลำบากเกือบตายสู้กบไม่ได้ อยากจะทราบว่าท่านนิพพานแล้วหรือยัง ถ้ายังท่านมีวิมานและทิพยสมบัติเป็นอย่างไร เมื่อนึกถึงท่านก็ปรากฏทั้งกายทั้งวิมาน ท่านทำให้เห็นชัดเท่าเห็นคนธรรมดา ท่านสวยแสงสว่างก็มากแต่ท่านไม่สวมชฎา วิมานก็สวย จึงถามท่านว่า "ทำไมจึงไม่สวมชฎา" ท่านบอกว่า "ท่านมาหาพระ ท่านไม่รีบกลับจึงไม่สวมชฎา" ขอให้ท่านสวมชฎา เมื่อชฎาปรากฏบนศีรษะ ไม่ได้หยิบสวมเหมือนคนปรากฏขึ้นเอง ดูสวยไปอีกแบบหนึ่ง แล้วชฎาก็สลายไป
ถามท่านว่า "เมื่อถูกคนเลี้ยงโคแทงแล้วตายทันทีหรือเปล่า" ท่านบอกว่า "ยังไม่ตาย เขาเอาเหล็กแทงเอาเชือกร้อยแล้วลากไปกับพื้นดิน เพราะเขาหากบต่อไป มันเจ็บปวดที่สุด เมื่อถึงบ้านเขาวางตากแดดไว้ที่ชานบ้าน มันเจ็บปวดและร้อนแดดเพิ่มเข้าอีก ในที่สุดก็ตาย ทุกข์มากเหลือเกิน ถามท่านว่า "เมื่อมาเป็นเทวดาแล้ว คิดอยากเกิดเป็นกบหรืออยากเกิดเป็นมนุษย์อีกไหม" ท่านยิ้มแล้วตอบว่า "ไม่อยากเกิดเป็นอะไรเลยครับ มนุษย์ก็ทุกข์ สัตว์ก็ทุกข์ แม้เทวดาผมก็ไม่อยากเป็นอีก อยากไปนิพพาน" ถามท่านว่า "ท่านฟังเทศน์สมัยพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นเทวดาแล้วได้ฟังต่ออีกไหม" ท่านบอกว่า "ฟังอีกหลายครั้ง" ถามท่านว่า "เป็นพระโสดาบันหรือยัง" ท่านบอกว่า "เวลานี้ผมเป็นพระสกิทาคามีผลขอรับ" คนถามหน้าแหงเลย เมื่อถามว่า "เพราะกรรมอะไรจึงเกิดเป็นกบ"
ภาพที่ปรากฏก็คือ ท่านเองเป็นชายสูงโปร่ง ผิวดำ เป็นลูกชาวนา เมื่อไถนาเสร็จแล้วก็เที่ยวหากบ ได้แล้วก็เอาเหล็กแหลมแทง ร้อยเชือกลากกบไปเหมือนที่เขาทำกับท่าน ท่านบอกว่าเศษบาปผมยังชำระไม่หมด ถ้าไปเกิดใหม่ต้องชำระหนี้อีกมาก จึงอยากจะไปพระนิพพานเลย
เมื่อคุยกับเทวดากบสักครู่หนึ่ง ท่านย่ากับท่านแม่ศรีก็มา ท่านทั้งสองรู้จักกับเทวดากบดี ท่านเทวดากบเคารพท่านย่าและท่านแม่ศรีมาก ท่านแม่ศรีบอกว่า "เทวดากบเคยเกิดเป็นลูกมาหลายชาติ" ท่านนึกกันออกรู้ได้เหมือนกันทั้งสองฝ่าย.."
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)